ประวัติ ฟุตบอลยูโร

ประวัติ ฟุตบอลยูโร

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปยุโรปที่จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ซึ่งมีวิวัฒนาการของรูปแบบการแข่งขันดังนี้

ยุคแรกเริ่ม (4 ทีม)

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1960 ภายใต้ชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยมีรูปแบบการแข่งขันในระยะแรกเป็นแบบเหย้า-เยือน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ ผู้ที่ผลักดันให้เกิดการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต และ ยูโกสลาเวีย ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพโซเวียตในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1

ในปี 1964 ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง กรีซ และ แอลเบเนีย หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีสงครามต่อกัน ส่งผลให้กรีซปฏิเสธที่จะลงแข่งขันกับแอลเบเนีย การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนั้นจัดขึ้นที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และเป็นสเปนในฐานะเจ้าภาพที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

การแข่งขันฟุตบอลยูโรได้วางรากฐานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การริเริ่มโดยสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส การเผชิญหน้ากับปัญหาทางการเมือง ไปจนถึงการสร้างตำนานของหลายชาติในการคว้าแชมป์รายการนี้ในเวลาต่อมา ทำให้ฟุตบอลยูโรกลายเป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับทวีปจวบจนปัจจุบัน
– ปี 1960: เริ่มการแข่งขันครั้งแรกในชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยใช้ระบบเหย้า-เยือนในรอบแรกและน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ สหภาพโซเวียตคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวีย 2-1 ในนัดชิงที่ฝรั่งเศส
– ปี 1964: สเปนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และเป็นแชมป์หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิง

ยุคเพิ่มเป็น 8 ทีม

– ปี 1968: เปลี่ยนชื่อเป็น “ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ” และเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบแบ่งกลุ่ม 8 สาย แชมป์แต่ละกลุ่มเข้ารอบก่อนรองฯ อิตาลีคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวียในนัดรีเพลย์
– ปี 1972: เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 3-0
– ปี 1976: เชโกสโลวะเกียคว้าแชมป์หลังชนะเยอรมัน 5-3 ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 2-2
– ปี 1980: เปลี่ยนรูปแบบเป็นแบ่ง 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่มชิงชนะเลิศ เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะเบลเยียม 2-1
– ปี 1984: เปลี่ยนให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีสุดของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองฯ ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ในบ้านหลังชนะสเปน 2-0
– ปี 1988: ฮอลแลนด์คว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 2-0 ที่เยอรมนีตะวันตก
– ปี 1992: “ตำนานเทพนิยายเดนส์” เกิดขึ้น หลังเดนมาร์กเข้าแทนยูโกสลาเวียกะทันหัน และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

ยุคเพิ่มเป็น 16 ทีม

– ปี 1996: เพิ่มทีมเป็น 16 ทีม แบ่ง 4 กลุ่ม 2 ทีมแรกเข้ารอบ 8 ทีม และเริ่มใช้กฎโกลเด้นโกล์ เยอรมนีคว้าแชมป์หลังชนะสาธารณรัฐเช็ก 2-1 จากโกลเด้นโกล์ของเบียร์ฮอฟ
– ปี 2000: เบลเยียมและฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพร่วมครั้งแรก ฝรั่งเศสคว้าแชมป์จากโกลเด้นโกล์ของเทรเซเกต์ ชนะอิตาลี 2-1

ยุคเพิ่มเป็น 24 ทีม

– ปี 2016: ขยายเป็น 24 ทีม แบ่ง 6 กลุ่ม โดย 2 ทีมแรกของแต่ละกลุ่มและ 4 ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเข้ารอบ 16 ทีม แล้วเล่นแบบน็อกเอาต์ต่อไปจนถึงนัดชิง

จะเห็นว่าฟุตบอลยูโรมีการปรับรูปแบบการแข่งขันตามยุคสมัย จนปัจจุบันกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพใกล้เคียงฟุตบอลโลกเลยทีเดียว

สัญญาณที่ดีของลิเวอร์พูล ในเกมล่าสุด

สัญญาณที่ดีของลิเวอร์พูล ในเกมล่าสุด

ถือว่าเป็นงานหนักของลิเวอร์พูลด้วยเหมือนกัน สำหรับการเจอกับ แอร์เบ ไลป์ซิก ทีมแกร่งจากเยอรมัน ก่อนเกมแต่ละสื่อต่างก็วิเคราะห์คาดการณ์กันว่า ลิเวอร์พูลไม่น่ารอดไปได้ เอาแค่เสมอกลับบ้านได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ที่ไหนได้ลิเวอร์พูลทำได้มากกว่าเสมออีก การชนะได้ 2-0 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีและแหย่ขาข้างหนึ่งเข้ารอบไปด้วยซ้ำไป เรามาดูกันว่าเกมนี้เราเห็นสัญญาณที่ดีของลิเวอร์พูลอะไรบ้าง

คาบัค เล่นดีมากขึ้น

เกมนี้ดูจากไลน์อัพที่ เจอร์เก็น คล็อปป์ ส่งลงสนาม เชื่อว่าเซนเตอร์แบ็คสองคนอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ โอซาน คาบัค น่าจะสร้างความหวั่นใจได้มากทีเดียว โดยเฉพาะรายของ คาบัค เชื่อว่าหลายคนยังกังวลอยู่ แต่ว่าพอลงสนามเกมนี้ต้องบอกว่า คาบัค กลับเล่นดีกว่าที่คิดเยอะเลย ความผิดพลาดมีน้อยมาก น่าเสียดายอย่างเดียวที่ต้องมาติดใบเหลือง ผลจากนัดนี้น่าจะทำให้เจ้าตัวมั่นใจมากขึ้น พร้อมรบกับเอฟเวอร์ตัน

ธิอาโก้ แก้ตัวได้

ถัดมากองกลาง สามตัวที่ลงสนาม ธิอาโก้, ซีดุม และ เคอร์ติส โจนส์ ตอนแรกที่กังวลว่าจะมีปัญหาเพราะอีกฝ่ายอัดกลางมา 5 คนทีเดียว กลับไม่เป็นแบบนั้น ธิอาโก้ เกมนี้กลับมาแก้ตัวได้หลังจากที่เล่นได้น่าผิดหวังจากเกมที่แล้ว หลายครั้งการปล่อยบอลดูเนียนตา แต่ออกไปจุดที่กองหลังอีกฝ่ายไม่ชอบเอาเสียเลย มีช็อตเอาตัวรอดจากการโดนรุมจำนวนคนที่มากกว่าหลายครั้ง

ซาลาห์ ยังฮอตต่อเนื่อง

กองหน้าสามคนวันนี้ ส่งสามเทพลงกันครบพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้ง มาเน่, เฟอร์มิโน่, ซาลาห์ เกมนี้ เราคงต้องยกให้กับ ซาลาห์ เด่นสุดในสามคนนี้ การเคลื่อนที่รวดเร็ว หาพื้นที่ไว และสร้างความปั่นป่วน อันตรายกับกองหลังแอร์เบ ไลป์ซิกได้ตลอด ลูกที่ได้ประตูก็มาจากการกดดันจนอีกฝ่ายผิดพลาดกันไปเอง ตอนนี้ยิงไปแล้ว 24 ประตูทุกรายการ สถิติเท่ากับซีซั่นที่แล้วตอนจบซีซั่นอีก คาดหว่างซีซั่นนี้น่าจะจบ 30 ประตูเป็นอย่างน้อย