ยิงนาทีสุดท้าย! คอนไซเซา ซูเปอร์ฮีโร่ พาโปรตุเกสพลิกแซง คว้าชัยในยูโร 2024

การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 นัดแรกของกลุ่มเอฟที่สนามไลป์ซิก

สเตเดี้ยม ระหว่างทีมชาติโปรตุเกสกับสาธารณรัฐเช็ก เป็นเกมที่เต็มไปด้วยความคึกคักและดุเดือด โดยเป็นที่จับตามองอย่างมาก ไม่เพียงเพราะการปรากฏตัวของดาวดังอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้ ซึ่งถือเป็นการลงเล่นในศึกยูโรเป็นสมัยที่ 6 ของเขา แต่ยังเป็นเพราะรูปแบบและศักยภาพของทีมที่นำโดยกุนซือโรแบร์โต้ มาร์ติเนซ

ในเกมนี้ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ เลือกจัดทัพโปรตุเกสในระบบ 3-5-2 โดยใช้

เปเป้ นำทัพในแนวหลัง ส่วนกลางสนามมี บรูโน่ แฟร์นันเดส และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา คอยทำเกม ส่วนคู่กองหน้าที่รับภารกิจล่าสกอร์คือ คริสเตียโน โรนัลโด้ และ ราฟาเอล เลเอา ด้านสาธารณรัฐเช็ก ภายใต้การคุมทีมของ อิวาน ฮาเซ็ค วางหมากมาในแผนเดียวกัน 3-5-2 โดยมี พาทริค ชิค และ ยาน คุชต้า เป็นคู่กองหน้า

เมื่อเริ่มเกมครึ่งแรก โปรตุเกสครองบอลบุกอย่างหนัก นาทีที่ 25 บรูโน่ แฟร์นันเดส มีจังหวะสวนกลับเร็ว ส่งบอลเข้ากรอบเขตโทษให้ ราฟาเอล เลเอา ได้โอกาสชาร์จ แต่บอลหลุดเสาออกหลังไปเพียงเล็กน้อย นาทีที่ 31 บรูโน่มีการผ่านบอลทะลุช่องให้โรนัลโด้ที่หลุดเดี่ยวเข้าไปล่อเป้า แต่ยังไม่สามารถผ่านมือ ยินดริช สตาเน็ค นายทวารของเช็กได้ แม้ว่าโปรตุเกสจะมีโอกาสบุกหลายนัดแต่ขาดความเฉียบคม จบ 45 นาทีแรกยังคงเสมอกันอยู่ 0-0

ครึ่งหลัง โปรตุเกสยังคงเดินเกมบุกตามสไตล์ แต่นาทีที่ 61 กลับเป็นฝั่งสาธารณรัฐเช็กที่ขึ้นนำจากการเปิดเกมบุกครั้งใหญ่

ลูคัส โพรโวด หาจังหวะยิงไกลเข้าประตูไป โปรตุเกสที่ตามหลัง 0-1 ไม่ยอมแพ้และเดินหน้ากดดันเช็กอย่างต่อเนื่อง กระทั่งนาทีที่ 69 โปรตุเกสได้ประตูตีเสมอจากลูกโหม่งของ นูโน เมนเดส ซึ่งชนหน้าแข้งของโรบิน ฮราแนค เข้าประตูตัวเองไป ทำให้สกอร์กลับมาเป็น 1-1

ช่วงท้ายเกม โปรตุเกสมีโอกาสทองจากการโหม่งของ ดิโอโก้ โชต้า ซึ่งซ้ำลูกโหม่งของโรนัลโด้ในนาทีที่ 87 แต่ด้วยการตัดสินของวีเออาร์ พบว่าโรนัลโด้อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้สกอร์ยังคงเสมอกันอยู่ที่ 1-1

ในนาทีที่ 90+2 เนโต้ กระชากบอลขึ้นมาทางซ้าย ก่อนจะผ่านเข้ากรอบเขตโทษ ซึ่งบอลโดนโรบิน ฮราแนค ปัดบอลหยุดอยู่ตรงหน้า ฟรานซิสโก้ คอนไซเซา ตัวสำรองที่เพิ่งลงสนามมา ซัดเข้าไปไม่พลาด ทำให้โปรตุเกสขึ้นนำ 2-1 ในช่วงเวลาสำคัญของเกม

เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกมโปรตุเกสแซงเอาชนะสาธารณรัฐเช็กไปด้วยสกอร์ 2-1 เก็บ 3 แต้มประเดิมศึกยูโร 2024 ได้สำเร็จ เกมนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับโปรตุเกส และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความพร้อมของทีมในการต่อสู้แข่งขันในยูโร 2024

รายชื่อนักเตะที่ลงสนาม:

โปรตุเกส (3-5-2): ดิโอโก้ คอสต้า; รูเบน ดิอาส, เปเป้, นูโน เมนเดส; ดิโอโก้ ดาโลต์, บรูโน แฟร์นันเดส, วิตินญา, เชา คันเซโล, แบร์นาร์โด้ ซิลวา; คริสเตียโน โรนัลโด้, ราฟาเอล เลเอา

สาธารณรัฐเช็ก (3-5-2): ยินดริช สตาเน็ค; โรบิน ฮราแนค, ลาดิสลาฟ เครชี, โทมัส โฮเลส; โทมัส ซูเช็ค, วลาดิมีร์ คูฟาล, ดาวิด ดูเดรา, ลูคัส โพรโวด, พาเวล ซูลช์; พาทริค ชิค, ยาน คุชต้า

โปรตุเกสแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถและความพร้อมที่จะสร้างสถิติใหม่ๆในการแข่งขันนัดต่อไป ในยูโร 2024 นี้

ประวัติ ฟุตบอลยูโร

ประวัติ ฟุตบอลยูโร

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปยุโรปที่จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ซึ่งมีวิวัฒนาการของรูปแบบการแข่งขันดังนี้

ยุคแรกเริ่ม (4 ทีม)

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1960 ภายใต้ชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยมีรูปแบบการแข่งขันในระยะแรกเป็นแบบเหย้า-เยือน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ ผู้ที่ผลักดันให้เกิดการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต และ ยูโกสลาเวีย ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพโซเวียตในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1

ในปี 1964 ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง กรีซ และ แอลเบเนีย หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีสงครามต่อกัน ส่งผลให้กรีซปฏิเสธที่จะลงแข่งขันกับแอลเบเนีย การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนั้นจัดขึ้นที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และเป็นสเปนในฐานะเจ้าภาพที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

การแข่งขันฟุตบอลยูโรได้วางรากฐานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การริเริ่มโดยสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส การเผชิญหน้ากับปัญหาทางการเมือง ไปจนถึงการสร้างตำนานของหลายชาติในการคว้าแชมป์รายการนี้ในเวลาต่อมา ทำให้ฟุตบอลยูโรกลายเป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับทวีปจวบจนปัจจุบัน
– ปี 1960: เริ่มการแข่งขันครั้งแรกในชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยใช้ระบบเหย้า-เยือนในรอบแรกและน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ สหภาพโซเวียตคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวีย 2-1 ในนัดชิงที่ฝรั่งเศส
– ปี 1964: สเปนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และเป็นแชมป์หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิง

ยุคเพิ่มเป็น 8 ทีม

– ปี 1968: เปลี่ยนชื่อเป็น “ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ” และเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบแบ่งกลุ่ม 8 สาย แชมป์แต่ละกลุ่มเข้ารอบก่อนรองฯ อิตาลีคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวียในนัดรีเพลย์
– ปี 1972: เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 3-0
– ปี 1976: เชโกสโลวะเกียคว้าแชมป์หลังชนะเยอรมัน 5-3 ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 2-2
– ปี 1980: เปลี่ยนรูปแบบเป็นแบ่ง 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่มชิงชนะเลิศ เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะเบลเยียม 2-1
– ปี 1984: เปลี่ยนให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีสุดของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองฯ ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ในบ้านหลังชนะสเปน 2-0
– ปี 1988: ฮอลแลนด์คว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 2-0 ที่เยอรมนีตะวันตก
– ปี 1992: “ตำนานเทพนิยายเดนส์” เกิดขึ้น หลังเดนมาร์กเข้าแทนยูโกสลาเวียกะทันหัน และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

ยุคเพิ่มเป็น 16 ทีม

– ปี 1996: เพิ่มทีมเป็น 16 ทีม แบ่ง 4 กลุ่ม 2 ทีมแรกเข้ารอบ 8 ทีม และเริ่มใช้กฎโกลเด้นโกล์ เยอรมนีคว้าแชมป์หลังชนะสาธารณรัฐเช็ก 2-1 จากโกลเด้นโกล์ของเบียร์ฮอฟ
– ปี 2000: เบลเยียมและฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพร่วมครั้งแรก ฝรั่งเศสคว้าแชมป์จากโกลเด้นโกล์ของเทรเซเกต์ ชนะอิตาลี 2-1

ยุคเพิ่มเป็น 24 ทีม

– ปี 2016: ขยายเป็น 24 ทีม แบ่ง 6 กลุ่ม โดย 2 ทีมแรกของแต่ละกลุ่มและ 4 ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเข้ารอบ 16 ทีม แล้วเล่นแบบน็อกเอาต์ต่อไปจนถึงนัดชิง

จะเห็นว่าฟุตบอลยูโรมีการปรับรูปแบบการแข่งขันตามยุคสมัย จนปัจจุบันกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพใกล้เคียงฟุตบอลโลกเลยทีเดียว